นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่าการลงพื้นที่ตรวจติดตามความก้าวหน้าโครงการพัฒนาท่าอากาศยานตาก และการปฏิบัติการฝนหลวงเติมน้ำในเขื่อนในพื้นที่ภาคเหนือ ณ ศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคเหนือ ตำบลน้ำรึม อำเภอเมืองตาก จังหวัดตาก ในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อติดตามความก้าวหน้าแผนการพัฒนาท่าอากาศยานตากเป็นศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงฐานหลักภาคเหนือในการปฏิบัติการบินดัดแปรสภาพอากาศเพื่อแก้ไขปัญหาและบรรเทาความเดือดร้อนพี่น้องประชาชนและเกษตรกรในพื้นที่ภาคเหนือ รวมถึงพื้นที่ใกล้เคียง
ทั้งในการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง การดับไฟป่า การบรรเทาปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM๒.๕ และภารกิจอื่น ๆ แทนศูนย์ปฏิบัติการเดิมที่จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ ได้รับมอบการโอนความรับผิดชอบการบริหารท่าอากาศยานตาก จากกรมท่าอากาศยาน กระทรวงคมนาคมอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๖๘ ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมฝนหลวงและการบินเกษตร อยู่ระหว่างการศึกษาและทบทวนการจัดทำแผนการจัดตั้งศูนย์พัฒนาบุคลากรด้านการบิน เพื่อผลิตและพัฒนาศักยภาพนักบิน ช่างอากาศยาน และบุคลากรที่เกี่ยวข้อง พร้อมเครื่องฝึกบินเสมือนจริง (Full Flight Simulator) มาตรฐานสากล และศูนย์ฝึกภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ เพื่อช่วยยกระดับมาตรฐานการบินของประเทศ และลดค่าใช้จ่ายด้านการฝึกอบรมในระยะยาวได้
ในโอกาสนี้ กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมฝนหลวงและการบินเกษตร ได้รับมอบเครื่องบิน L-๔๑๐NG จำนวน ๒ ลำ เข้าประจำการสนับสนุนภารกิจการปฏิบัติการฝนหลวงและการดัดแปรสภาพอากาศ ซึ่งเครื่องบินดังกล่าวมีสมรรถนะสูง และเป็นเครื่องบินรุ่นใหม่ในภูมิภาคอาเซียนที่ติดตั้งระบบเฉพาะเพื่อการดัดแปรสภาพอากาศ สามารถบินไกลถึง ๒,๕๐๐ กิโลเมตร ด้วยความเร็วสูงสุด ๔๑๗ กิโลเมตรต่อชั่วโมง พร้อมมีเทคโนโลยี Glass Cockpit Garmin G๓๐๐๐ ทันสมัยและปลอดภัย อีกด้วย
นายอรรถกร กล่าวเพิ่มเติมว่า วันนี้ถือว่าเป็นโอกาสดีในการต้อนรับเครื่องบิน L-๔๑๐NG จำนวน ๒ ลำ ที่จะมาเป็นสมาชิกใหม่ของกรมฝนหลวงฯ มาช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการปฏิบัติภารกิจทั้งในด้านการบินเกษตร และด้านอื่น ๆ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนพี่น้องประชาชน อีกทั้งจะเป็นกำลังสำคัญในการปฏิบัติการเติมน้ำในเขื่อน โดยเฉพาะเขื่อนภูมิพลให้เพียงพอต่อความต้องการ ซึ่งได้มอบนโยบายและให้กำลังใจพี่ ๆ นักบิน และเจ้าหน้าที่ทุกท่านให้ดำเนินภารกิจอย่างเต็มที่ และใช้ประโยชน์จากสมาชิกใหม่ทั้ง ๒ ลำนี้ รวมถึงเครื่องบินเดิมที่มีอยู่อย่างคุ้มค่า เพื่อสร้างประโยชน์สูงสุดแก่พี่น้องประชาชนต่อไป นายอรรถกร กล่าว
ด้านนายราเชน ศิลปะรายะ อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมฝนหลวงและการบินเกษตร ได้มีการติดตามสถานการณ์ และวางแผนปฏิบัติการฝนหลวงอยู่ต่อเนื่อง ซึ่งผลปฏิบัติการฝนหลวงบริเวณภาคเหนือตอนบน ได้แก่ จ.เชียงราย จ.พะเยา จ.น่าน และ จ.เชียงใหม่ พบว่าในหลายพื้นที่มีปริมาณฝนและปริมาณน้ำต้นทุนเพียงพอต่อความต้องการแล้ว ในขณะเดียวกันบริเวณภาคเหนือตอนล่าง ได้แก่ จ.ลำพูน จ.ตาก จ.สุโขทัย จ.กำแพงเพชร จ.พิษณุโลก จ.พิจิตร และ จ.เพชรบูรณ์ ยังคงมีการวางแผนดำเนินการปฏิบัติการฝนหลวงอย่างระมัดระวังและรอบคอบ
เพื่อเพิ่มปริมาณฝน และเพิ่มแหล่งน้ำต้นทุนในทางการเกษตรและการอุปโภคบริโภคให้สอดคล้องต่อความต้องการของพี่น้องประชาชนและเกษตรกร ซึ่งหลีกเลี่ยงพื้นที่เสี่ยงอุทกภัย เพื่อลดผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นต่อภาคการเกษตร และทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน โดยผลการปฏิบัติการฝนหลวงตั้งแต่วันที่ ๓๑ มีนาคม – ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๘ พบว่ามีการขึ้นบินปฏิบัติการจำนวน ๑๔๖ วัน ๑,๘๖๕ เที่ยวบิน มีฝนตกจากการปฏิบัติการถึงร้อยละ ๙๑.๘๔ ครอบคลุมพื้นที่เกษตรกว่า ๒๑.๘๑ ล้านไร่ และเติมน้ำเขื่อนสำคัญในภาคเหนือหลายแห่ง