นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร นำคณะลงพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับหน่วยงานราชการ ผู้นำท้องถิ่น ผู้นำชุมชมชน และประชาชนในพื้นที่ ในประเด็น "ปัญหาสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา หลังเหตุการณ์ปะทะ” โดยมีนายชำนาญ ชื่นตา ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ นำผู้เกี่ยวข้องร่วมต้อนรับและนำเสนอข้อมูล ณ โรงพยาบาลพนมดงรักเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา ตำบลบักได และบ้านเกษตรสมบูรณ์ หมู่ที่ ๑๑ ตำบลตาเมียง อำเภอพนมดงรัก โดยได้รับฟังข้อเท็จจริง ปัญหาอุปสรรค ตลอดจนข้อเสนอแนะ จากแพทย์หญิงวรวรรณ กอปรกิจงาม ผู้อำนวยโรงพยาบาลพนมดงรักเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา และชาวบ้านเกษตรสมบูรณ์
สำหรับสิ่งที่ส่วนราชการและประชาชนต่างสะท้อนในการพบปะครั้งนี้
มีทั้งเรื่องความต้องการสนับสนุนชุดเกราะและค่าตอบแทนให้ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน
ความยากลำบากในการหาเลี้ยงชีพของประชาชน การขาดแคลนรายได้จากสถานการณ์ความไม่สงบ กระบวนการเยียวยาที่มีขั้นตอนซ้ำซ้อนยุ่งยาก
ขั้นตอนรอการพิจารณาที่นานกว่าที่ควร เป็นเกณฑ์การพิจารณาที่สูง เป็นต้น
ด้านรัฐพงศ์ระบุว่า
สถานการณ์ในวันนี้คนที่ลำบากที่สุดคือประชาชนและเจ้าหน้าที่หน้างานทุกท่านสถานการณ์ตอนนี้เริ่มเข้าสู่อีกเฟสหนึ่งแล้ว
ที่ผ่านมา ส.ส.จากหลายพื้นที่ได้ช่วยกันรับประสานสิ่งของบริจาคจากจังหวัดต่างๆ มาสนับสนุนประชาชนที่ศูนย์พักพิงต่างๆ
แต่ตอนนี้เมื่อประชาชนเริ่มย้ายกลับมาบ้าน สิ่งสำคัญที่สุดในเวลานี้คือมาตรการในการเยียวยา
มีหลายส่วนที่ต้องใช้มาตรการชดเชย ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลก็มีมาตรการในการลดค่าน้ำไฟเงินชดเชยรายได้จากการสูญเสีย
รายได้มาตรการลดหย่อนภาษี ซ่อมบ้าน ซ่อมรถ เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำจากธนาคารรัฐ เพื่อเข้าถึงเงินกู้ในการประกอบอาชีพ
เป็นต้น ทุกมาตรการเป็นสิ่งที่ดี แต่ที่สำคัญที่สุดคืออุปสรรคหน้างาน ทุกครั้งที่มีเหตุประสบภัย
สิ่งสำคัญที่สุด คือ การเสริมกำลังการทำงานของเจ้าหน้าที่ให้เข้าถึงประชาชนมากที่สุด
“วันนี้เราไม่ต้องการมาวิพากษ์วิจารณ์แต่เราต้องการรับฟังว่าปัญหาหน้างานมีอะไรที่เป็นอุปสรรคบ้างโดยเฉพาะการรับเงินชดเชยเยียวยาที่มีขั้นตอนทางเอกสารเยอะเอกสารหาไม่เจอหรือใช้ไม่ได้คำถามก็คือรัฐมีอะไรที่จะสามารถดำเนินการเพื่อลดขั้นตอนได้บ้างหรือไม่”
นายณัฐพงษ์กล่าว
นายณัฐพงษ์กล่าวอีกว่า
วันนี้ได้เห็นข้าราชการผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่อย่างต้องการสนับสนุนอีกหลายเรื่องคนในพื้นที่ยังมีความเครียดและวิตกกังวลและได้เห็นปัญหาจากการชดเชยเยียวยายิ่งเมื่อได้เห็นแบบฟอร์แบบฟอร์มการเยียวยาแล้วก็ยิ่งเข้าใจว่า
ทำไมประชาชนถึงได้รับการเยียวยาล่าช้าเพราะทั้งหมดเป็นการใช้กลไกปกติของกระทรวง เช่น
ของกระทรวงการทรัพยากรสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ที่พุ่งเป้าตามระเบียบราชการปกติที่เน้นเฉพาะกลุ่มเปราะบาง
แต่การแก้ปัญหาจากเหตุปะทะชายแดนครั้งนี้ไม่ควรแก้ปัญหาด้วยวิธีคิดแบบรัฐสงเคราะห์
แต่ต้องพุ่งเป้าแบบถ้วนหน้า ทุกคนที่จังหวัดชายแดน
ทั้งผู้ที่ต้องอพยพและผู้ที่ไม่ได้อพยพไม่มีใครไม่เดือดร้อน
ประชาชนต่างมีความเดือดร้อนคนละแบบ ทั้งคนที่บ้านเรือนเสียหาย ปศุสัตว์ล้มตาย
ออกกรีดยางไม่ได้ ฯลฯ จะให้กรอกแบบฟอร์มให้รัฐประเมินทุกคนก็ย่อมล่าช้า ดังนั้น
เงินเยียวยาพื้นฐานรัฐควรต้องให้เลยโดยไม่ต้องพิสูจน์เพราะทุกคนเดือดร้อนด้วยกันหมด
รัฐมีกลไกเครื่องมืออยู่แล้ว เช่น
กระเป๋าเงินดิจิทัลที่เคยผ่านการแจกมาแล้วบางส่วน นำมาใช้เป็นเครื่องมือให้เกิดประสิทธิภาพ
อย่างน้อยแก้ปัญหาให้คน ๘๐-๙๐% ก่อน ส่วนที่เหลือจากการเยียวยาพื้นฐาน
ทั้งส่วนที่พิสูจน์ไม่ได้หรือต้องพิสูจน์เพิ่ม รัฐสามารถเยียวยาตามหลังได้
ผู้นำฝ่ายค้าน
กล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้กลไกราชการในพื้นที่ไม่มีอำนาจที่จะไปปรับได้
คนที่มีอำนาจและต้องไปปรับก็คือรัฐบาล ระเบียบกระทรวงต่างๆ ล้วนอยู่ที่ส่วนกลาง
นี่คือสิ่งที่วันนี้ สส. สามารถช่วยได้
ในการผลักดันให้เกิดการปรับปรุงระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวกับการเยียวยา ซึ่งตนและเพื่อน
สส. ที่มารับฟังประชาชนในวันนี้
พร้อมที่จะนำเสียงสะท้อนเหล่านี้ไปสะท้อนให้รัฐบาลรับฟังต่อไป