กระทรวงพาณิชย์จัดงาน “GI สินค้าอัตลักษณ์ภาคเหนือ” ครั้งที่ ๒ ณ จังหวัดสงขลา ส่งเสริม Soft Power และเศรษฐกิจฐานราก

เผยแพร่เมื่อ ๑๓ ส.ค. ๒๕๖๘

ภาพประกอบข่าว

วันนี้ (๑๓ สิงหาคม ๒๕๖๘) กระทรวงพาณิชย์ โดยสำนักงานพาณิชย์จังหวัด ๑๗ จังหวัดภาคเหนือ จัดพิธีเปิดงานแสดงและจำหน่ายสินค้า “GI สินค้าอัตลักษณ์ สินค้าบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ ภูมิปัญญาภาคเหนือ” ครั้งที่ ๒ ณ ลานกิจกรรมชั้น ๑ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา โดยมีนายวราวุฒิ สมหวังประเสริฐ ผู้ตรวจราชการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานเปิดงาน พร้อมด้วยนางกนกรัตน์ ยุกติรัตน์ พาณิชย์จังหวัดเชียงใหม่ พาณิชย์จังหวัดจากภาคเหนือและภาคใต้ ตลอดจนหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และสื่อมวลชนเข้าร่วม


นายวราวุฒิ สมหวังประเสริฐ กล่าวว่า การจัดงานครั้งนี้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงพาณิชย์ ที่มุ่งส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากและขับเคลื่อน Soft Power ไทย ผ่านการนำเสนอสินค้าที่สะท้อนวัฒนธรรม วิถีชีวิต และภูมิปัญญาท้องถิ่นของภาคเหนือ อาทิ ผ้าทอพื้นเมือง การย้อมครามจังหวัดแพร่ กาแฟเทพเสด็จ ลำไยสดจากสวน รวมถึงสินค้าการเกษตรแปรรูปและผลิตภัณฑ์สมุนไพร ซึ่งล้วนมีคุณภาพและเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น


การจัดงานมีผู้ประกอบการเข้าร่วมจำนวน ๓๕ ราย จาก ๑๗ จังหวัดภาคเหนือ พร้อมนำสินค้ามาจำหน่ายตรงถึงผู้บริโภคในภาคใต้ เพื่อลดข้อจำกัดด้านการเดินทางและสร้างโอกาสทางการค้าใหม่ ๆ ทั้งนี้ยังมีกิจกรรม Business Matching โดยเชิญผู้ซื้อรายใหญ่ เช่น แม็คโคร และ CP Extra รวมทั้งผู้ซื้อจากหลายภาคส่วนเข้าร่วมเจรจาธุรกิจ คาดว่ามูลค่าการซื้อขายจะไม่น้อยกว่า ๕ ล้านบาท


นางกนกรัตน์ ยุกติรัตน์ พาณิชย์จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวเพิ่มเติมว่า ไฮไลท์ของงาน ได้แก่ สินค้า GI ที่เป็นอัตลักษณ์ของแต่ละจังหวัด เช่น ห้อมเมืองแพร่ กาแฟเทพเสด็จเชียงใหม่ และหินอ่อนกำแพงเพชร นอกจากนี้ยังมีลำไยสดจากเชียงใหม่มาจำหน่ายในราคาพิเศษ เพื่อช่วยกระจายผลผลิตและบรรเทาปัญหาลำไยล้นตลาด พร้อมจัดโปรโมชั่นคูปองส่วนลดและราคาพิเศษสำหรับสินค้าเกษตรแปรรูป เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่เข้าร่วมงาน


งาน “GI สินค้าอัตลักษณ์ สินค้าบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ ภูมิปัญญาภาคเหนือ” ครั้งที่ ๒ จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๓–๑๗ สิงหาคม ๒๕๖๘ ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เชิญชวนประชาชนในพื้นที่และจังหวัดใกล้เคียงร่วมเลือกซื้อสินค้าและสัมผัสเอกลักษณ์ภูมิปัญญาภาคเหนือ พร้อมสนับสนุนแนวคิด “ไทยทำ ไทยใช้ ไทยช่วยไทย” เพื่อสร้างรายได้และความภาคภูมิใจให้กับท้องถิ่นอย่างยั่งยืน