ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจ เรื่อง “สถานการณ์ไทย-กัมพูชา ไปต่อแบบไหนดี” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ ๔-๕ สิงหาคม ๒๕๖๘ จากประชาชนที่มีอายุ ๑๘ ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมจำนวนทั้งสิ้น ๑,๓๑๐ หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับความไว้วางใจและความพอใจต่อบทบาทของภาคส่วนต่าง ๆ ในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา โดยเมื่อถามถึงความไว้วางใจต่อภาคส่วนต่าง ๆ ว่าจะสามารถปกป้องผลประโยชน์ของชาติได้ จากกรณีความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา พบว่า
-กองทัพ ตัวอย่าง ร้อยละ ๗๕.๗๓ ระบุว่า ไว้วางใจมาก รองลงมา ร้อยละ ๑๙.๓๑ ระบุว่า ค่อนข้างไว้วางใจ ร้อยละ ๓.๖๖ ระบุว่า ไม่ค่อยไว้วางใจ ร้อยละ ๑.๐๗ ระบุว่า ไม่ไว้วางใจเลย และร้อยละ ๐.๒๓ ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
-กระทรวงการต่างประเทศ ตัวอย่าง ร้อยละ ๔๑.๗๖ ระบุว่า ไม่ไว้วางใจเลย รองลงมา ร้อยละ ๓๓.๒๘ ระบุว่า ไม่ค่อยไว้วางใจ ร้อยละ ๑๙.๒๓ ระบุว่า ค่อนข้างไว้วางใจ ร้อยละ ๔.๘๙ ระบุว่า ไว้วางใจมาก และร้อยละ ๐.๘๔ ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
-รัฐบาลไทย ตัวอย่าง ร้อยละ ๕๔.๕๘ ระบุว่า ไม่ไว้วางใจเลย รองลงมา ร้อยละ ๒๙.๐๑ ระบุว่า ไม่ค่อยไว้วางใจ ร้อยละ ๑๑.๔๕ ระบุว่า ค่อนข้างไว้วางใจ ร้อยละ ๔.๖๖ ระบุว่า ไว้วางใจมาก และร้อยละ ๐.๓๐ ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
ด้านความพอใจต่อบทบาทของภาคส่วนต่าง ๆ ในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา พบว่า
-กองทัพ ตัวอย่าง ร้อยละ ๗๕.๔๒ ระบุว่า พอใจมาก รองลงมา ร้อยละ ๑๙.๘๕ ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ ๓.๓๖ ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ ๑.๒๒ ระบุว่า ไม่พอใจเลย และร้อยละ ๐.๑๕ ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
-กระทรวงการต่างประเทศ ตัวอย่าง ร้อยละ ๔๐.๓๑ ระบุว่า ไม่พอใจเลย รองลงมา ร้อยละ ๓๓.๖๖ ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ ๒๐.๓๘ ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ ๔.๘๑ ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ ๐.๘๔ ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
-รัฐบาลไทย ตัวอย่าง ร้อยละ ๕๔.๔๓ ระบุว่า ไม่พอใจเลย รองลงมา ร้อยละ ๒๗.๔๐ ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ ๑๓.๗๕ ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ ๔.๒๗ ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ ๐.๑๕ ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
ด้านความคิดเห็นของประชาชนต่อสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา พบว่า
ร้อยละ ๔๑.๙๘ ระบุว่า เปิดเจรจาทางการทูตสองฝ่ายอย่างจริงจัง
ร้อยละ ๒๗.๖๓ ระบุว่า กดดันทางเศรษฐกิจ เช่น การปิดด่านต่อไปอย่างจริงจัง งดการนำเข้าส่งออกในทุกกรณี
ร้อยละ ๒๗.๑๐ ระบุว่า เปลี่ยนรัฐบาลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ในการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา
ร้อยละ ๒๓.๙๗ ระบุว่า เพิ่มกำลังทางทหารชายแดน เพื่อป้องกันประเทศ
ร้อยละ ๒๑.๓๐ ระบุว่า กดดัน ฟ้องร้องและประณามกัมพูชาผ่านกลไกระหว่างประเทศ
ร้อยละ ๒๐.๐๐ ระบุว่า ไปต่อแบบไหนก็ได้ แต่ต้องไม่เสียดินแดนและไม่เสียเปรียบให้กัมพูชา
ร้อยละ ๑๙.๖๒ ระบุว่า ให้มีประเทศที่สามเป็นตัวกลางในการเจรจาการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท
ร้อยละ ๑๖.๔๙ ระบุว่า รบต่อจนกว่าจะได้ชัยชนะอย่างเบ็ดเสร็จ
ร้อยละ ๑๑.๑๕ ระบุว่า ไปต่อแบบไหนก็ได้ แต่ขอเพียงแค่ไม่มีการสู้รบกัน
ร้อยละ ๕.๑๙ ระบุว่า ใช้กลไกศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก) ตามข้อเรียกร้องของกัมพูชา
ร้อยละ ๒.๙๐ ระบุว่า เปิดด่านทั้งหมดเพื่อให้เศรษฐกิจชายแดนเข้าสู่ภาวะปกติ
ร้อยละ ๒.๖๗ ระบุว่า แทรกแซงการเมืองภายในประเทศกัมพูชาเพื่อล้มอำนาจ ฮุน เซน และรัฐบาล ฮุน มาเนต
ร้อยละ ๒.๒๑ ระบุว่า สนับสนุนรัฐบาลปัจจุบันอย่างเต็มที่ ในการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา
ร้อยละ ๐.๓๑ ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
ท้ายที่สุด เมื่อถามความคิดเห็นของประชาชนต่อการปฏิบัติของโรงพยาบาลในการรับผู้ป่วยชาวกัมพูชา เพื่อการรักษาพยาบาล พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ ๕๑.๓๗ ระบุว่า ไม่ควรรับผู้ป่วยชาวกัมพูชาทุกคน ทั้งผู้ที่อาศัยอยู่ในไทยและขอข้ามแดนมาเพื่อการรักษาพยาบาล รองลงมา ร้อยละ ๓๕.๘๑ ระบุว่า ควรรับผู้ป่วยชาวกัมพูชาเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ในไทยเท่านั้น ร้อยละ ๑๑.๔๕ ระบุว่า ควรรับผู้ป่วยชาวกัมพูชาทุกคน ไม่ว่าพวกเขาจะอาศัยอยู่ในไทยหรือขอข้ามแดนมาเพื่อการรักษาพยาบาล และร้อยละ ๑.๓๗ ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ