รัฐฯดัน “Negative Income Tax”...“ทุกคนต้องยื่นภาษี” เริ่มปี’๗๐

เผยแพร่เมื่อ ๑๘ ส.ค. ๒๕๖๘

ภาพประกอบข่าว

พูดกันมาสักระยะกับนโยบาย Negative Income Tax (NIT) หรือ “ภาษีเงินได้ติดลบ” ที่รัฐบาลจะนำมาใช้ในปี ๒๕๗๐ เพื่อลดความซ้ำซ้อน และเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล

 

ด้วยความที่เป็นเรื่องใหม่ ทำให้หลายคนที่ไม่เคยเข้าสู่ระบบภาษี รู้สึกวิตกกังวล แต่รัฐบาลย้ำว่า “Negative Income Tax” ไม่ได้น่ากลัว เพราะหากมีการยื่นภาษีแล้วพบว่า ผู้ยื่นภาษีมีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ ก็ไม่ต้องเสียภาษี แถมยังได้รับสิทธิ์ในการรับเงินช่วยเหลือจากภาครัฐ ตามนโยบายต่างๆ และถือเป็นการคัดกรองสิทธิ์สวัสดิการได้อย่างแม่นยำ และตรงเป้าหมาย ส่วนผู้ยื่นภาษีที่มีรายได้สูงกว่าเกณฑ์ ก็เสียภาษีตามปกติ นั่นเอง

 

การมาถึงของ Negative Income Tax แม้จะยังไม่เห็นภาพชัดเจนในอนาคต แต่สิ่งที่ไทยจะได้รับ คือผลักดันให้คนไทยนับสิบล้านคนเข้าสู่ระบบภาษี

 

ซึ่งจากข้อมูลของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ระบุว่า ปี ๒๕๖๕ ไทยมีแรงงานในระบบกว่า ๑๙ ล้านคน แต่มีผู้ยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เพียง ๑๐.๗ ล้านคนเท่านั้น และมีผู้ที่อยู่ในเกณฑ์ต้องเสียภาษีเพียง ๔.๒ ล้านคน ในขณะเดียวกัน มีผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐกว่า ๑๓ ล้านคน ซึ่งบางส่วนมีรายได้เกินเกณฑ์ แต่ยังคงรับสิทธิ์อยู่ ดังนั้นหากประเทศไทยมีการนำนโยบาย Negative Income Tax มาบังคับใช้จริง จะดึงคนอีกจำนวนมากเข้าสู่ระบบภาษีครั้งใหญ่ และถือเป็นการคัดกรองผู้ที่ได้รับสิทธิ์สวัสดิการของรัฐ ได้อย่างแม่นยำ

 

ทั้งนี้ที่ผ่านมา ยังมีคนไทยบางส่วนไม่รู้ว่า การยื่นแบบภาษีและเสียภาษี เป็นหน้าที่ตามกฎหมาย อีกทั้งยังไม่รู้ว่าการยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ไม่ได้หมายความว่า จะต้องเสียภาษีเสมอไป ซึ่งหากรัฐบาลนำนโยบายนี้มาใช้ จะเป็นการเปลี่ยนโฉมระบบภาษีของไทยครั้งใหญ่ เพราะการกำหนดให้ทุกคนต้องยื่นแบบภาษี ไม่เพียงแต่ทำให้รัฐมีข้อมูลรายได้ของประชาชนครบถ้วนแล้ว ยังเป็นการขยายฐานผู้เสียภาษีโดยอัตโนมัติอีกด้วย

 

“ศึกษิษฏ์ ศรีจอมขวัญ” รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ระบุว่า “ภาษีเงินได้ติดลบ” หรือ Negative Income Tax จะเป็นการปฏิรูประบบภาษีครั้งใหญ่ เพื่อเปลี่ยนจาก “ภาษี” ให้กลายเป็น “เครื่องมือสวัสดิการถ้วนหน้า” สำหรับประชาชนไทยทุกคน และย้ำว่า นี่ไม่ใช่แค่เรื่องกฎหมายภาษี แต่นี่คือการเปลี่ยนอนาคตสวัสดิการไทย เพื่อไม่ให้ใครถูกทิ้งไว้ข้างหลังอีกต่อไป”

 

หากจะสรุปเบื้องต้น การนำระบบ Negative Income Tax มาใช้ กลุ่มที่จะได้รับประโยชน์ คือ กลุ่มผู้มีรายได้น้อย หรือผู้ที่เคยตกหล่นจากสวัสดิการต่างๆ ของรัฐ และเมื่อข้อมูลรายได้ถูกนำเข้าสู่ระบบ ภาครัฐจะสามารถจัดสรรเงินช่วยเหลือได้อย่างแม่นยำ และตรงเป้าหมายมากขึ้น

 

ส่วนกลุ่มผู้เสียประโยชน์ คือ กลุ่มผู้มีรายได้พอสมควร แต่ไม่เคยยื่นภาษีเลย กลุ่มนี้จะถูกดึงเข้าสู่ระบบ และอาจต้องเริ่มเสียภาษีหากมีรายได้เกินเกณฑ์ที่กำหนด ขณะที่กลุ่มที่เสียภาษีอยู่แล้ว กลุ่มนี้จะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก แต่อาจต้องเผชิญกับกระบวนการตรวจสอบรายได้ ที่เข้มงวดมากขึ้น

 

จุดเริ่มต้นของ Negative Income Tax เป็นแนวคิดที่เกิดขึ้นโดย “Milton Friedman นักเศรษฐศาสตร์ชาวสหรัฐฯ ในช่วงทศวรรษ ๑๙๖๐ เพื่อต้องการแก้ปัญหาสวัสดิการที่ซ้ำซ้อน และไม่ตรงกลุ่มเป้าหมาย และต่อมานโยบายดังกล่าว ก็ได้รับการพัฒนา เพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

 

การจัดเก็บภาษีในลักษณะดังกล่าว ไม่ได้ใหม่ในต่างประเทศ โดยหลายประเทศได้ดำเนินนโยบายดังกล่าว แต่ใช้ชื่อเรียกที่แตกต่างกัน อาทิ

 

สหรัฐอเมริกา อิสราเอล เกาหลีใต้ และสวีเดน : Earned Income Tax Credit (EITC)

ออสเตรเลีย : Family Tax Benefit (FTB)

นิวซีแลนด์ : Independent Earner Tax Credit (IETC)

สิงคโปร์ : Workfare Income Supplement (WIS)

แคนาดา : Working Income Tax Benefit (WITB)

และ สหราชณาจักร : Working Tax Credit (WTC)

 

การนำ Negative Income Tax มาใช้ หากมองในแง่เศรษฐกิจ ถือเป็นเรื่องที่ดี และในระยะยาว นโยบายนี้จะช่วยสร้างวินัยการยื่นภาษีให้เป็นเรื่องปกติของคนไทย เพิ่มความโปร่งใสในการจัดสรรสวัสดิการที่ยั่งยืนในระยะยาว

 

แต่อีกหนึ่งความท้าทายของนโยบายนี้ คือ ที่ผ่านมาต้องยอมรับว่า มีคนไทยจำนวนไม่น้อย ที่ยังหลบเลี่ยงการเสียภาษี และมีค่านิยมในการแสดงรายได้น้อยกว่าความจริงให้กับสรรพากร และนี่ถือเป็นอีกหนึ่งโจทย์ใหญ่ ที่รัฐบาลจะต้องหามาตรการแก้ไขปัญหานี้เช่นกัน.