“๒๒ ปีแห่งความสูญเสีย” ความรุนแรงคร่าชีวิตพุทธ–มุสลิมเกือบ ๖ พันคน รัฐเดินหน้าสร้างพื้นที่สมานฉันท์

เผยแพร่เมื่อ ๑๗ ส.ค. ๒๕๖๘

ภาพประกอบข่าว

“๒๒ ปีแห่งความสูญเสีย” ความรุนแรงคร่าชีวิตพุทธ–มุสลิมเกือบ ๖ พันคน รัฐเดินหน้าสร้างพื้นที่สมานฉันท์


วันนี้ (๑๗ สิงหาคม ๒๕๖๘) พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และคณะฯ ได้เดินทางเป็นประธานใน ๒ กิจกรรมสำคัญเพื่อสร้างขวัญและกำลังใจแก่ครอบครัวผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมี พันตำรวจโทวรรณพงษ์ คชรักษ์ เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.), พลโท ไพศาล หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ ๔ ผู้อำนวยรักษาความ มั่นคงภายในภาค ๔, นางพาตีเมาะ สะดียามู  ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี และผูัแทนจาก ส่วนราชการในพื้นที่ ร่วมในพิธีในครั้งนี้


ช่วงเช้า จัดพิธี “ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้” ณ วัดตานีนรสโมสร พระอารามหลวง จังหวัดปัตตานี โดยมีครอบครัวชาวไทยพุทธผู้สูญเสียราว ๑,๒๐๐ คน เข้าร่วม


ในการนี้ พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า กิจกรรมสำคัญในวันนี้ คือการที่เราทุดคนมาร่วมทำบุญ เพื่ออุทิศส่วนกุศลแด่ผู้ล่วงลับ การทำบุญครั้งนี้มีความหมายอย่างยิ่ง เพราะไม่เพียงเป็นการน้อมรำลึกถึงผู้ที่จากไป แต่ยังเป็นการส่งกำลังใจให้กับครอบครัว และผู้ที่ยังอยู่กับเราทุกคน


ตลอดกว่า ๒ ทศวรรษที่ผ่านมา เหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ ได้สร้างความสูญเสียมหาศาล ผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บรวมกันกว่า ๒๐,๐๐๐ คน หากนับรวมครอบครัวที่เกี่ยวข้อง ก็มีผู้ได้รับผลกระทบไม่ต่ำกว่า ๒๐๐,๐๐๐ คน สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เพียงตัวเลขทางสถิติ แต่คือบาดแผลที่ทุกครอบครัวในพื้นที่สัมผัสได้จริง กระสุนปืนและเสียงระเบิดอาจพรากชีวิตและความฝันของเราไป แต่สิ่งที่ไม่เคยพรากได้ คือความศรัทธา ความรัก และความหวังดีที่เรามีต่อกัน


วันนี้เราจึงมาร่วมกันยืนยันว่า ความรุนแรงไม่เคยสร้างคำตอบ มีเพียงฝากน้ำตาให้กับรุ่นแล้วรุ่นเล่า ถึงเวลาแล้วที่เราจะเปลี่ยนน้ำตาให้กลายเป็นพลัง พลังแห่งการเยียวยา พลังแห่งการสร้างสรรค์ และพลังแห่งสันติภาพ


ในนามของรัฐบาล และหน่วยงานทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็น กอ.รมน. ทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง ผู้ว่าราชการจังหวัด และ ศอ.บต. ขอยืนยันกับพี่น้องทุกครอบครัวว่า เราจะไม่ทอดทิ้งกัน ความสูญเสียของพวกท่านคือความสูญเสียของพวกเราทุกคน และสิ่งที่พวกเราทำได้ในวันนี้ คือการสานต่อความรัก ความหวัง และการสร้างสังคมที่สงบสุข เพื่อไม่ให้ความรุนแรงมาทำลายชีวิตและอนาคตของลูกหลานเราอีกต่อไป


ด้าน น้องนิสาฯ ตัวแทนเยาวชนผู้สูญเสียบิดาจากเหตุระเบิดระหว่างปฏิบัติหน้าที่ เปิดเผยว่า ครอบครัวได้รับการดูแลและช่วยเหลืออย่างต่อเนื่องจากหลายหน่วยงานภาครัฐ โดยเฉพาะการเยียวยาจาก ศอ.บต. ที่เข้ามาสนับสนุนทั้งทุนการศึกษา การดูแลด้านจิตใจ และการช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ อย่างจริงจัง ทำให้ครอบครัวสามารถก้าวผ่านช่วงเวลาแห่งความสูญเสียไปได้ ตนรู้สึกซาบซึ้งและขอบคุณในน้ำใจที่ได้รับเป็นอย่างยิ่ง พร้อมทั้งสัญญาว่าจะตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ประพฤติตนเป็นคนดี และเติบโตเป็นกำลังสำคัญของสังคมในอนาคต


จากนั้น เวลา ๑๑.๓๐ น. พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และคณะฯ เดินทางต่อไปยังหอประชุมสิริสวัสดิธร สำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดยะลา ตำบลท่าสาป อำเภอเมือง จังหวัดยะลา เพื่อเป็นประธานเปิดงาน “ซอลาวาต มาฮับบะห์ นบี สร้างความรักและสร้างกำลังใจ” สำหรับครอบครัวผู้สูญเสียชาวไทยมุสลิม โดยมีผู้เข้าร่วมประมาณ ๒,๐๐๐ คน


ทั้งสองกิจกรรมจัดขึ้นเพื่อเยียวยาจิตใจและตอกย้ำความสำคัญของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขในพื้นที่ จากการเปิดตัวเลข ๒๒ ปี ความสูญเสีย ตั้งแต่ปี ๒๕๔๗–๒๕๖๘ พบว่าเหตุการณ์ความไม่สงบ ที่ผ่านการรับรองสามฝ่าย รวมทั้งสิ้น ๑๐,๐๕๙ ครั้ง ผู้เสียชีวิตรวม ๕,๙๘๙ คน แบ่งเป็น ศาสนาอิสลาม : ๓,๑๓๓ คน (สูงสุด), ศาสนาพุทธ : ๒,๘๔๙ คน, ศาสนาคริสต์ : ๗ คน 


สำหรับ ผู้ได้รับบาดเจ็บรวม ๑๓,๔๔๕ คน แบ่งเป็น ศาสนาพุทธ : ๘,๗๙๒ คน (มากที่สุด), ศาสนาอิสลาม : ๔,๖๔๕ คน และศาสนาคริสต์ : ๘ คน


เมื่อแยกตามปี พบว่าช่วงแรกของสถานการณ์มีความรุนแรงสูงสุด โดยปี ๒๕๕๐ มีจำนวนเหตุการณ์มากถึง ๑,๔๐๗ ครั้ง มีผู้เสียชีวิต ๘๙๒ คน และบาดเจ็บกว่า ๑,๕๕๑ คน ขณะที่ในช่วงหลัง ความรุนแรงมีแนวโน้มลดลง โดยปี ๒๕๖๘ (ม.ค.–ส.ค.) มีเหตุการณ์ ๙๓ ครั้ง เสียชีวิต ๓๘ คน และบาดเจ็บ ๓๑๐ คน


อย่างไรก็ตาม ตัวเลขสะท้อนความสูญเสียตลอด ๒๒ ปี สะท้อนว่าความรุนแรงส่งผลกระทบต่อชีวิตผู้คนทุกศาสนาอย่างลึกซึ้ง ทั้งครอบครัวชาวพุทธและมุสลิมต่างสูญเสียคนที่รักไปอย่างมิอาจทดแทนได้ การจัดกิจกรรมคู่ขนานครั้งนี้ ถือเป็นความพยายามสร้างพื้นที่แห่งความเข้าใจ ความเมตตา และการสมานฉันท์ระหว่างศาสนา เพื่อเดินหน้าสู่สันติสุขที่ยั่งยืนในพื้นที่ชายแดนใต้