ตำรวจไซเบอร์จับเวียดนามเทายกแก๊งคาห้างดัง หลังรวมหัวคนไทยทำธุรกิจบัญชีม้าครบวงจร รวบผู้ต้องหา ๑๐ ราย พยายามเผ่นหนีทิ้งกระเป๋าเงินสด ๔ แสนกลางถนน

เผยแพร่เมื่อ ๑๖ ส.ค. ๒๕๖๘

ภาพประกอบข่าว

บริเวณชั้น ๑ บก.สอท.๒ (เมืองทองธานี) นำโดย พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สอท., พล.ต.ต.อรรถสิทธิ์ สุดสงวน รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.ทินกร รังมาตย์ รอง ผบช.สอท. , พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ ผบก.สอท.๑ , พล.ต.ต.ศรายุทธ จุณณวัตต์ ผบก.สอท.๒ , พ.ต.อ.สุวัฒชัย                  ศรีทองสุข รอง ผบก.ตอท., พ.ต.อ.ศุรสิทธิ์ ทรัพยสาร ผกก.ฝ่ายกิจการต่างประเทศ บช.สอท., พ.ต.อ.วิศรุตม์ จันทร์สุวรรณ ผกก.๑ บก.สอท.๒ พร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมแถลงข่าว ตำรวจไซเบอร์จับเวียดนามเทายกแก๊งคาห้างดัง หลังรวมหัวคนไทยทำธุรกิจบัญชีม้าครบวงจร รวบผู้ต้องหา ๑๐ ราย รวบผู้ต้องหา ๑๐ ราย พยายามเผ่นหนีทิ้งกระเป๋าเงินสด ๔ แสนกลางถนน


สืบเนื่องจาก ตำรวจได้สืบทราบว่า มีกลุ่มคนชาวเวียดนามกลุ่มใหญ่ มีพฤติกรรมจ้างคนไทยให้เปิดบัญชีธนาคารเพื่อใช้ในการรับโอนเงิน โดยมักติดต่อกับนายหน้าคนไทยเพื่อให้จัดหาบัญชีม้ามารับโอนเงินแล้วจะให้รีบถอนเงินสดออกจากบัญชีผ่านหน้าเคาน์เตอร์ธนาคาร หรือกดเงินสดออกจากตู้ ATM แล้วค่อยนำเงินสดมาให้กลุ่มชาวเวียดนาม โดยจะมีการจัดคนเฝ้าติดตามคอยควบคุมกำกับอีกชั้นหนึ่ง โดยทั้งนายหน้าและบัญชีม้า มีค่าตอบแทนให้คนละ ๓,๐๐๐-๕,๐๐๐ บาท

 

ต่อมา ตำรวจสืบทราบว่า ชาวเวียดนามหลายคนได้นัดหมายกับนายหน้าจัดหาบัญชีม้า เพื่อให้พาเจ้าของบัญชีม้ามาพบกันที่ห้างสรรพสินค้าชื่อดังแห่งหนึ่งย่านลาดพร้าว โดยนัดพบกันที่ศูนย์อาหารชั้นใต้ดิน (ชั้น G) ของห้างดังกล่าว ตำรวจในสังกัดจึงได้วางแผนสะกดรอยติดตามเพื่อพิสูจน์ทราบและเข้าจับกุม

จนพบเป้าหมายเป็นกลุ่มคนทั้งชาวเวียดนามและคนไทยที่เชื่อว่าเป็นเจ้าของบัญชีม้า อยู่กันเป็นกลุ่มก้อน จากนั้นได้พากันเดินจากบริเวณศูนย์อาหารชั้นใต้ดิน (ชั้น G) ไปยังเคาน์เตอร์ธนาคารและตู้ ATM ในบริเวณใกล้เคียงกัน ซึ่งพบว่าเจ้าของบัญชีม้ากำลังเดินไปถอนเงิน โดยมีคนเวียดนามเดินประกบ เพื่อไม่ให้มีการนำเงินที่เบิกถอนหลบหนีไป เมื่อเจ้าของบัญชีม้าได้เงินสดมาแล้ว จึงนำเงินสดมอบให้แก่ชาวเวียดนามที่ทำหน้าที่รวบรวบเงิน


ตำรวจจึงได้แสดงตัวเข้าตรวจค้น แต่ปรากฏว่ามีชายชาวเวียดนามรายหนึ่ง ซึ่งทำหน้าที่รวบรวมเงินสด ได้วิ่งหลบหนีออกไปทางด้านหน้าห้างสรรพสินค้าพร้อมกระเป๋าสะพายสีดำ ตำรวจจึงได้วิ่งไล่ติดตามไป แต่พบว่าชายเวียดนามคนดังกล่าววิ่งตัดหน้ารถข้ามถนนพหลโยธินไปฝั่งตรงข้ามเพื่อหลบหนี โดยได้ทำโทรศัพท์มือถือและกระเป๋าสีดำตกที่พื้นถนน พยายามหลบหนี ไปทางกองบังคับการปราบปราม ซขณะเดียวกันมีตำรวจกองบังคับการปราบปราม ขับขี่รถจักรยานยนต์ผ่านมาเห็นลักษณะผิดสังเกต จึงได้ช่วยทำการจับกุมในครั้งนี้ด้วยจนสามารถควบคุมตัวไว้ได้ ทราบชื่อภายหลังว่าชื่อ นายเหงียน ซวน ตุ่ง  สัญชาติเวียดนาม ตรวจค้นในกระเป๋าสีดำใบดังกล่าว พบว่ามีเงินสด จำนวน ๔๐๐,๐๐๐ บาท 


ส่วนบุคคลที่ยังอยู่ในห้างสรรพสินค้าอีก จำนวน ๙ คน พบเป็นชาวเวียดนาม จำนวน ๕ คน นายหน้าจัดหาบัญชีม้าชาวไทย ๒ คน และเจ้าของบัญชีม้า อีกจำนวน ๒ คน รวมควบคุมตัวไว้ได้จำนวน ๑๐ คน จึงได้เชิญตัวไปซักถามที่ บช.สอท. 


จากการจับกุมครั้งนี้พบว่า นายเหงียน หงอก ทึ้ก  สัญชาติเวียดนาม  เป็นหัวหน้าขบวนการชาวเวียดนามกลุ่มนี้ ทำหน้าที่คอยสั่งการและวางแผน ให้นายหน้าบัญชีม้าชาวไทย , นายหน้าบัญชีม้าชาวเวียดนาม และ กลุ่มชาวเวียดนามที่ทำหน้าที่คอยติดตามเจ้าของบัญชีม้าแต่ละคนที่ไปกดเงิน หรือ เบิกถอนเงิน และรวบรวมเงินที่กดได้ โดยหัวหน้าขบวนการและนายหน้าบัญชีม้าชาวเวียดนาม สามารถสื่อสารภาษาไทยได้อย่างดี จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่าเส้นทางการเงินที่โอนมายังบัญชีม้าที่ตรวจยึดได้ มีผู้เสียหายชาวไทยถูกหลอกให้ลงทุนเทรดทองโอนเงินเข้ามาด้วย โดยผู้ต้องหา


ชาวเวียดนาม จำนวน ๖ ราย (ชาย๕ หญิง ๑) ดำเนินคดีในข้อหา “ร่วมกันเป็นสมาชิกของคณะบุคคลซึ่งปกปิดวิธีดำเนินการและมีความมุ่งหมายเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมาย กระทำความผิดฐานเป็นอั้งยี่และสมคบกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดเป็นซ่องโจร  หรือร่วมกันประชุมในที่ประชุมอั้งยี่หรือซ่องโจร”


ส่วนหญิงชาวเวียดนาม รับว่าเป็นผู้รับแลกเงินบาทไทยเป็นเงินดองเวียดนาม  โดยรับเงินสดจากกลุ่มชาวเวียดนามดังกล่าว แล้วหลังจากนั้นก็จะโอนเงินดองเวียดนามในบัญชีของตนที่อยู่ในประเทศเวียดนาม ให้กับกลุ่มคนร้ายที่อยู่ในประเทศเวียดนาม


ขณะที่น.ส.พรวิณี อายุ ๓๘ ปี และ นายปวริศ อายุ ๓๗ ปี (นายหน้าจัดหาบัญชีม้า) ดำเนินคดีในข้อหา “ร่วมกันเป็นสมาชิกของคณะบุคคลซึ่งปกปิดวิธีดำเนินการและมีความมุ่งหมายเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมาย กระทำความผิดฐานเป็นอั้งยี่และสมคบกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดเป็นซ่องโจร หรือร่วมกันประชุมในที่ประชุมอั้งยี่หรือซ่องโจร” และ “เป็นธุระจัดหา โฆษณา หรือไขข่าวโดยประการใดๆ เพื่อให้มีการซื้อ ขาย ให้เช่า หรือให้ยืม บัญชีเงินฝาก บัตรอิเล็กทรอนิกส์ หรือบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือความผิดทางอาญาอื่นใด”


น.ส.ศิวนันท์ อายุ ๒๘ ปี และ นายเชิดชาย อายุ ๔๑ ปี (บัญชีม้า) ดำเนินคดีในข้อหา “ร่วมกันเป็นสมาชิกของคณะบุคคลซึ่งปกปิดวิธีดำเนินการและมีความมุ่งหมายเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมาย กระทำความผิดฐานเป็นอั้งยี่และสมคบกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดเป็นซ่องโจร  หรือร่วมกันประชุมในที่ประชุมอั้งยี่หรือซ่องโจร” และ “เปิดหรือยินยอมให้บุคคลอื่นใช้บัญชีเงินฝาก บัตรอิเล็กทรอนิกส์ หรือบัญชีอิเล็กทรอนิกส์ของตน โดยมิได้มีเจตนาเพื่อตนหรือเพื่อกิจการที่ตนเกี่ยวข้อง หรือยอมให้บุคคลอื่นใช้หรือยืมใช้เลขหมายโทรศัพท์สำหรับบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ของตน ทั้งนี้โดยประการที่รู้หรือควรจะรู้ว่าจะนำไปใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือความผิดอาญาอื่นใด”


ควบคุมผู้ต้องหาทั้งหมดพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวน บก.สอท.๑ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยขณะนี้อยู่ระหว่างเร่งขยายผลไปยังผู้ร่วมขบวนการทั้งหมด เพื่อนำตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป