เปิดฉากอย่างเป็นทางการ
กับการประชุมประชุมสภาผู้แทนราษฎร
เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๙
ซึ่งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาเสร็จแล้ว โดยดำเนินการในวาระที่ ๒
(ลงมติรายมาตรา) และวาระที่ ๓ (ลงมติร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ๒๕๖๙ ทั้งฉบับ) โดยมี
นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ เป็นประธานการประชุม โดยที่ประชุม
ได้กำหนดกรอบการประชุมไว้ ๓ วัน คือ ๑๓-๑๕ สิงหาคม ๒๕๖๘ กำหนดเริ่มประชุมในเวลา
๐๙.๐๐ น. และจะพักการประชุมในเวลา ๒๓.๓๐ น.
สำหรับงบประมาณ
๒๕๖๙ วงเงิน ๓,๗๘๐,๖๐๐ ล้านบาท
โดยที่ประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๙ สภาผู้แทนราษฎร ได้มีมติปรับลดงบประมาณทั้งสิ้น รวม ๘.๙๒ พันล้านบาท
โดยปรับลดสูงสุด ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย ปรับลด ๒.๑๔ พันล้านบาท, รัฐสภา ๘๘๐ ล้านบาท, กระทรวงคมนาคม ๗๙๕ ล้านบาท, กระทรวงสาธารณสุข ๖๙๓ ล้านบาท, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
๔๕๙ ล้านบาท
•
“พิชัย” แจงหั่นงบฯ ไม่สอดคล้องนโยบาย
“นาย
พิชัย ชุณหวชิร” รองนายกฯ และรมว.คลัง ฐานะประธาน กมธ.
ได้รายงานผลการพิจารณาต่อที่ประชุม โดยย้ำว่า
การพิจารณารายละเอียดได้พิจารณาตามความจำเป็น คำนึงถึงฐานะการคลัง
การขับเคลื่อนของหน่วยงานภายใต้ความสุจริต โปร่งใส และเป็นธรรม
พร้อมมีข้อสังเกตในภาพรวม เพื่อให้รัฐบาลดำเนินการเศรฐกิจในปีงบประมาณ ๒๕๖๙
ที่มีแนวโน้มชะลอตัวกว่าที่คาดการณ์ ส่งผลกระทบต่องบประมาณ โดย กมธ.
จึงได้ปรับลดงบประมาณ ๘,๙๒๐ ล้านบาท
ซึ่งเป็นพิจารณาความสอดคล้องในสถานการณ์ปัจจุบัน ความคุ้มค่า
และศักยภาพในการใช้จ่ายเงิน
•
“ศิริกัญญา” ขอปรับลดงบฯ ๕ หมื่นล้าน
ขณะที่การประชุมในช่วงเช้าวันนี้
(๑๓ ส.ค.) การอภิปรายเป็นไปเรียบร้อย โดยสมาชิก ได้ทยอยลุกขึ้นอภิปราย โดย
น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะ กมธ.สงวนความเห็น
ได้อภิปราย โดยขอให้ปรับลดงบประมาณเพิ่มอีก ๕๐,๐๐๐ ล้านบาท เหลือ ๓๗๓,๖๐๐ ล้านบาท
พร้อมระบุว่า ขณะนี้ประเทศไทย กำลังเผชิญทั้งเศรษฐกิจ
และการปะทะกันในเขตชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งหวังว่า วิกฤตชายแดนน่าจะจบลงในเร็ววัน
แต่วิกฤตเศรษฐกิจ ทำให้มาถึงจุดที่ต้องขอปรับลดงบประมาณลง ๕๐,๐๐๐ ล้านบาท
เพื่อเป็นการเก็บกระสุนไว้ใช้ในยามจำเป็น
•
“ฝ่ายค้าน” ชี้ชัด การจัดงบฯ ไม่ตรงจุด
ส่วนสมาชิกคนอื่นๆ
ก็ทยอยกันอภิปราย ทั้ง นาย พริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน และ
ในฐานะ กมธ.งบประมาณปี ๖๙ ระบุว่า การจัดงบฯ ปี ๖๙ ไม่ได้มีการเตรียมแผนต่อกรกับ
“ภาษีทรัมป์” พร้อมชี้ชัด ๓ ปัญหา คือ “แยกกันทำ แย่งกันทำ ย้ายออกไปทำ”
และมีการทำงบฯ แบบสะเปะสะปะ ทำให้การใช้งบประมาณไม่มีประสิทธิภาพ
ด้าน
น.ส.รักชนก ศรีนอก สส.กทม.พรรคประชาชน (ปชน.)
อภิปรายถึงงบประมาณอาสาสมัครของแต่ละกระทรวง
ที่หลายพรรคการเมืองพยายามเข้าไปใช้เครือข่ายอาสาต่างๆ เพื่อหวังผลทางการเมือง
ทำให้สิ้นเปลือง และงบประมาณซ้ำซ้อน
•
“ณัฐพงษ์” ติงจัดงบฯ “คิดไม่รอบคอบ”
นายณัฐพงษ์
เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน ในสภาฯ
ได้อภิปรายว่า การปรับลดลงประมาณ ของ กมธ. ๘,๙๒๐ ล้านบาท หรือเท่ากับ ๐.๒๔% ถือว่า
กมธ.ทำหน้าที่ได้ดี ขณะที่การจัดสรรไปให้กับหน่วยงานต่างๆ นั้นยังไม่ตรงจุด
และไม่ตอบโจทย์การรับมือกับวิกฤติเศรษฐกิจ โดยงบฯ ถูกเอาไปใช้สร้างตึกตัดถนน
ขุดคลองซึ่งเป็นภาพสะท้อนที่ทำให้เห็นว่า ตอนที่รัฐบาลเสนองบประมาณเข้ามา
เป็นการคิดจัดสรรงบประมาณที่ไม่รอบคอบ ยังคิดไม่ลึกเพียงพอ
นาย
ณัฐพงษ์ ยังชื่นชมรัฐบาล ตอนที่แปรญัตติกลับเข้ามา
ไม่ได้นำงบประมาณไปกองไว้ที่งบกลางทั้งหมด
แต่งบกลางก็มีความจำเป็นไปใช้ในกรณีที่เร่งด่วน
มีการแปรญัตติกลับเข้าไปในกองทุนประกันสังคม
หรือเติมในรถไฟสายสีส้มซึ่งเรื่องนี้ฝ่ายค้านไม่ได้เห็นต่าง และย้ำว่า เศรษฐกิจที่ต้องการ
คือ เม็ดเงินลงทุนที่สร้างการเติบโตให้ประเทศ และสร้างประโยชน์กับประชาชน
ไม่ใช่กระจุกตัวกับผู้รับสัมปทานบางกลุ่ม หากรัฐบาลเตรียมร่าง พ.ร.บ.งบฯ๖๙
ดีเพียงพอ จะทำให้นักลงทุนและคนไทย เห็นถึงเป้าหมายว่าจะเดินไปทางไหน
และชัดเจนมากขึ้น
•
"จุลพันธ์" ยันรัฐบาลมีงบฯ เพียงพอรองรับ "ภาวะวิกฤต"
นายจุลพันธ์
อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง
และรองประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ. งบประมาณฯ ปี ๒๕๖๙
ในฐานะกรรมาธิการเสียงข้างมาก ได้ลุกขึ้นกล่าวชี้แจงข้อเสนอแนะของสมาชิก
โดยระบุว่า รัฐบาลไม่ได้ปฏิเสธความเสี่ยงจากผลกระทบ ทั้งจากมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐอเมริกา
ซึ่งได้ข้อสรุปว่าประเทศไทยจัดเก็บที่ ๑๙% ไม่ได้ปฏิเสธความเสี่ยง
แต่กระทรวงการคลังเชื่อมั่นว่า มีศักยภาพเพียงพอในการบริหารจัดการ
โดยเฉพาะการจัดเก็บรายได้ที่เพียงพอ เชื่อว่าสามารถบริหารได้ลุล่วง ไม่กระทบใดๆ
นอกจากนี้
มั่นใจว่า การพิจารณา ร่าง พ.ร.บ. งบประมาณฯ ปี ๒๕๖๙ นี้
มีความชอบและสอดคล้องตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๔๔
และภาครัฐมีแนวทางเสริมความแข็งแกร่งด้านเศรษฐกิจ ในปี ๒๕๖๙
มีการลดลงของรายจ่ายประจำประมาณ ๒๕,๗๙๔ ล้านบาทเศษ คิดเป็น ๑% ถือเป็นความสำเร็จ
และรัฐบาลจำเป็นต้องตั้งงบประมาณแบบขาดดุล
เพื่อสนับสนุนการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ.