"พิชัย" แจงหั่นงบฯ ๘.๙๒ พันล้าน...“ศิริกัญญา” ขอปรับลดอีก ๕ หมื่นล้าน

เผยแพร่เมื่อ ๑๓ ส.ค. ๒๕๖๘

ภาพประกอบข่าว

เปิดฉากอย่างเป็นทางการ กับการประชุมประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๙ ซึ่งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาเสร็จแล้ว โดยดำเนินการในวาระที่ ๒ (ลงมติรายมาตรา) และวาระที่ ๓ (ลงมติร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ๒๕๖๙ ทั้งฉบับ) โดยมี นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ เป็นประธานการประชุม โดยที่ประชุม ได้กำหนดกรอบการประชุมไว้ ๓ วัน คือ ๑๓-๑๕ สิงหาคม ๒๕๖๘ กำหนดเริ่มประชุมในเวลา ๐๙.๐๐ น. และจะพักการประชุมในเวลา ๒๓.๓๐ น.

 

สำหรับงบประมาณ ๒๕๖๙ วงเงิน ๓,๗๘๐,๖๐๐ ล้านบาท โดยที่ประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๙ สภาผู้แทนราษฎร ได้มีมติปรับลดงบประมาณทั้งสิ้น รวม ๘.๙๒ พันล้านบาท โดยปรับลดสูงสุด ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย ปรับลด ๒.๑๔ พันล้านบาท, รัฐสภา ๘๘๐ ล้านบาท, กระทรวงคมนาคม ๗๙๕ ล้านบาท, กระทรวงสาธารณสุข ๖๙๓ ล้านบาท, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ๔๕๙ ล้านบาท

 

• “พิชัย” แจงหั่นงบฯ ไม่สอดคล้องนโยบาย

“นาย พิชัย ชุณหวชิร” รองนายกฯ และรมว.คลัง ฐานะประธาน กมธ. ได้รายงานผลการพิจารณาต่อที่ประชุม โดยย้ำว่า การพิจารณารายละเอียดได้พิจารณาตามความจำเป็น คำนึงถึงฐานะการคลัง การขับเคลื่อนของหน่วยงานภายใต้ความสุจริต โปร่งใส และเป็นธรรม พร้อมมีข้อสังเกตในภาพรวม เพื่อให้รัฐบาลดำเนินการเศรฐกิจในปีงบประมาณ ๒๕๖๙ ที่มีแนวโน้มชะลอตัวกว่าที่คาดการณ์ ส่งผลกระทบต่องบประมาณ โดย กมธ. จึงได้ปรับลดงบประมาณ ๘,๙๒๐ ล้านบาท ซึ่งเป็นพิจารณาความสอดคล้องในสถานการณ์ปัจจุบัน ความคุ้มค่า และศักยภาพในการใช้จ่ายเงิน

 

• “ศิริกัญญา” ขอปรับลดงบฯ ๕ หมื่นล้าน

ขณะที่การประชุมในช่วงเช้าวันนี้ (๑๓ ส.ค.) การอภิปรายเป็นไปเรียบร้อย โดยสมาชิก ได้ทยอยลุกขึ้นอภิปราย โดย น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะ กมธ.สงวนความเห็น ได้อภิปราย โดยขอให้ปรับลดงบประมาณเพิ่มอีก ๕๐,๐๐๐ ล้านบาท เหลือ ๓๗๓,๖๐๐ ล้านบาท พร้อมระบุว่า ขณะนี้ประเทศไทย กำลังเผชิญทั้งเศรษฐกิจ และการปะทะกันในเขตชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งหวังว่า วิกฤตชายแดนน่าจะจบลงในเร็ววัน แต่วิกฤตเศรษฐกิจ ทำให้มาถึงจุดที่ต้องขอปรับลดงบประมาณลง ๕๐,๐๐๐ ล้านบาท เพื่อเป็นการเก็บกระสุนไว้ใช้ในยามจำเป็น

 

• “ฝ่ายค้าน” ชี้ชัด การจัดงบฯ ไม่ตรงจุด

ส่วนสมาชิกคนอื่นๆ ก็ทยอยกันอภิปราย ทั้ง นาย พริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน และ ในฐานะ กมธ.งบประมาณปี ๖๙ ระบุว่า การจัดงบฯ ปี ๖๙ ไม่ได้มีการเตรียมแผนต่อกรกับ “ภาษีทรัมป์” พร้อมชี้ชัด ๓ ปัญหา คือ “แยกกันทำ แย่งกันทำ ย้ายออกไปทำ” และมีการทำงบฯ แบบสะเปะสะปะ ทำให้การใช้งบประมาณไม่มีประสิทธิภาพ

 

ด้าน น.ส.รักชนก ศรีนอก สส.กทม.พรรคประชาชน (ปชน.) อภิปรายถึงงบประมาณอาสาสมัครของแต่ละกระทรวง ที่หลายพรรคการเมืองพยายามเข้าไปใช้เครือข่ายอาสาต่างๆ เพื่อหวังผลทางการเมือง ทำให้สิ้นเปลือง และงบประมาณซ้ำซ้อน

 

• “ณัฐพงษ์” ติงจัดงบฯ “คิดไม่รอบคอบ”

นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน ในสภาฯ ได้อภิปรายว่า การปรับลดลงประมาณ ของ กมธ. ๘,๙๒๐ ล้านบาท หรือเท่ากับ ๐.๒๔% ถือว่า กมธ.ทำหน้าที่ได้ดี ขณะที่การจัดสรรไปให้กับหน่วยงานต่างๆ นั้นยังไม่ตรงจุด และไม่ตอบโจทย์การรับมือกับวิกฤติเศรษฐกิจ โดยงบฯ ถูกเอาไปใช้สร้างตึกตัดถนน ขุดคลองซึ่งเป็นภาพสะท้อนที่ทำให้เห็นว่า ตอนที่รัฐบาลเสนองบประมาณเข้ามา เป็นการคิดจัดสรรงบประมาณที่ไม่รอบคอบ ยังคิดไม่ลึกเพียงพอ

 

นาย ณัฐพงษ์ ยังชื่นชมรัฐบาล ตอนที่แปรญัตติกลับเข้ามา ไม่ได้นำงบประมาณไปกองไว้ที่งบกลางทั้งหมด แต่งบกลางก็มีความจำเป็นไปใช้ในกรณีที่เร่งด่วน มีการแปรญัตติกลับเข้าไปในกองทุนประกันสังคม หรือเติมในรถไฟสายสีส้มซึ่งเรื่องนี้ฝ่ายค้านไม่ได้เห็นต่าง และย้ำว่า เศรษฐกิจที่ต้องการ คือ เม็ดเงินลงทุนที่สร้างการเติบโตให้ประเทศ และสร้างประโยชน์กับประชาชน ไม่ใช่กระจุกตัวกับผู้รับสัมปทานบางกลุ่ม หากรัฐบาลเตรียมร่าง พ.ร.บ.งบฯ๖๙ ดีเพียงพอ จะทำให้นักลงทุนและคนไทย เห็นถึงเป้าหมายว่าจะเดินไปทางไหน และชัดเจนมากขึ้น

 

• "จุลพันธ์" ยันรัฐบาลมีงบฯ เพียงพอรองรับ "ภาวะวิกฤต"

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และรองประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ. งบประมาณฯ ปี ๒๕๖๙ ในฐานะกรรมาธิการเสียงข้างมาก ได้ลุกขึ้นกล่าวชี้แจงข้อเสนอแนะของสมาชิก โดยระบุว่า รัฐบาลไม่ได้ปฏิเสธความเสี่ยงจากผลกระทบ ทั้งจากมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้ข้อสรุปว่าประเทศไทยจัดเก็บที่ ๑๙% ไม่ได้ปฏิเสธความเสี่ยง แต่กระทรวงการคลังเชื่อมั่นว่า มีศักยภาพเพียงพอในการบริหารจัดการ โดยเฉพาะการจัดเก็บรายได้ที่เพียงพอ เชื่อว่าสามารถบริหารได้ลุล่วง ไม่กระทบใดๆ 

 

นอกจากนี้ มั่นใจว่า การพิจารณา ร่าง พ.ร.บ. งบประมาณฯ ปี ๒๕๖๙ นี้ มีความชอบและสอดคล้องตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๔๔ และภาครัฐมีแนวทางเสริมความแข็งแกร่งด้านเศรษฐกิจ ในปี ๒๕๖๙ มีการลดลงของรายจ่ายประจำประมาณ ๒๕,๗๙๔ ล้านบาทเศษ คิดเป็น ๑% ถือเป็นความสำเร็จ และรัฐบาลจำเป็นต้องตั้งงบประมาณแบบขาดดุล เพื่อสนับสนุนการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ.