กองทัพบก ระบุว่า แม้จะเป็นช่วงของการหยุดยิง และรอการเจรจาของระดับ RBC และ GBC แต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นที่ชายแดน และการกระทำของฝ่ายกัมพูชา ทำให้ฝ่ายความมั่นคงและกองทัพ กำลังพิจารณาถึงการตอบโต้เท่าที่จำเป็นและได้สัดส่วน กรณีการปฏิบัติการเชิงป้องกัน (Preemptive Defensive Action) ต่อภัยคุกคามจากกัมพูชา
๑.ประเทศไทยกำลังเผชิญกับภัยคุกคามจากประเทศเพื่อนบ้าน (กัมพูชา) ที่มีพฤติกรรมดังต่อไปนี้
• ส่งอากาศยานไร้คนขับ (โดรน) เข้ามาในน่านฟ้าไทยหลายครั้ง เพื่อสอดแนมและเก็บข้อมูลทางทหาร
• เสริมกำลังทางทหารอย่างต่อเนื่องบริเวณแนวชายแดน
• เผยแพร่ข้อมูลและถ้อยคำยั่วยุที่ขัดต่อบรรยากาศสันติภาพ
• ไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงและผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ที่จัดขึ้น ณ ประเทศมาเลเซีย สถานการณ์ดังกล่าวนี้ มีลักษณะเป็นภัยคุกคามใกล้เกิดขึ้น (Imminent Threat) ที่อาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อความมั่นคงของไทย
๒. กรอบกฎหมายที่ใช้ : ประเทศไทยใช้สิทธิในการป้องกันตนเองตาม มาตรา ๕๑ แห่งกฎบัตรสหประชาชาติ (UN Charter, Article ๕๑)
• ให้สิทธิรัฐใช้กำลังป้องกันตนเองเมื่อเกิดการโจมตีด้วยอาวุธ หรือมีภัยใกล้เกิดขึ้น
• การดำเนินการต้องมี ความจำเป็น (Necessity) และ ได้สัดส่วน (Proportionality)
• หลังการปฏิบัติ ไทย รายงานเหตุการณ์และเหตุผลต่อ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) เพื่อความโปร่งใส
๓. ลักษณะการปฏิบัติการ
• เป็น การโจมตีเชิงป้องกันแบบจำกัดขอบเขต (Limited Preemptive Strike)
• ใช้กำลังเท่าที่จำเป็น เพื่อทำลายขีดความสามารถทางทหารของฝ่ายตรงข้ามที่เป็นภัยคุกคามโดยตรง
• เลือกเป้าหมายที่เป็น โครงสร้างทางทหาร เท่านั้น
• หลีกเลี่ยงการโจมตีพื้นที่พลเรือนทุกกรณี
• ปฏิบัติการเป็นไปตาม กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (International Humanitarian Law: IHL)
๔. เพื่อ ๑. ป้องกันการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนไทย ๒. รักษาความมั่นคงและอธิปไตยของชาติ ๓. ลดขีดความสามารถของฝ่ายตรงข้ามในการเปิดฉากโจมตี ๔. ส่งสัญญาณชัดเจนว่าประเทศไทยพร้อมปกป้องตนเอง แต่ไม่มุ่งรุกราน ๕. การสื่อสารและความโปร่งใส
• ไทยมีหลักฐานยืนยันการละเมิดน่านฟ้าและการเสริมกำลัง (ภาพถ่ายดาวเทียม, ข้อมูลเรดาร์, ซากโดรน)
• เปิดโอกาสให้บุคคลที่สามและองค์กรระหว่างประเทศเข้าตรวจสอบ
• ประสานพันธมิตรและองค์การระหว่างประเทศให้รับทราบข้อเท็จจริง
• พร้อมให้ข้อมูลต่อสื่อมวลชนอย่างครบถ้วน เพื่อป้องกันข่าวลวงและการบิดเบือน
ดังนั้น ๑. ประเทศไทยไม่ได้รุกราน แต่ใช้สิทธิตามมาตรา ๕๑ เพื่อป้องกันตนเองจากภัยใกล้เกิดขึ้น ๒. ปฏิบัติการมีความจำเป็นและได้สัดส่วน เพื่อหยุดยั้งภัยคุกคามก่อนจะเกิดความเสียหายร้ายแรง ๓. เคารพกฎหมายมนุษยธรรม หลีกเลี่ยงการกระทบต่อพลเรือนและโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่ใช่ทางทหาร ๔. พร้อมทำงานกับประชาคมโลก เพื่อรักษาสันติภาพในภูมิภาค
หากถามว่า ไทยมีสิทธิตามกฎหมายในการโจมตีก่อนหรือไม่ ? คำตอบ คือ "มี" ตามมาตรา ๕๑ ของกฎบัตรสหประชาชาติ ในกรณีที่ภัยคุกคามใกล้เกิดขึ้นและหลีกเลี่ยงไม่ได้
แล้วจะถือว่า ปฏิบัติการครั้งนี้ถือเป็นการรุกรานหรือไม่ ? คำตอบ คือ "ไม่ใช่" เป็นการปฏิบัติการเชิงป้องกันอย่างจำกัด เป้าหมายคือโครงสร้างทางทหารที่คุกคามไทย โดยไทยเราได้แจ้งต่อองค์การสหประชาชาติแล้ว และไทยยินดีให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยบุคคลที่สาม โดยไทยพร้อมกลับสู่การเจรจาเสมอ เมื่อฝ่ายตรงข้ามหยุดการละเมิดและยอมเคารพข้อตกลงที่มีอยู่
มาตรา ๕๑ แห่งกฎบัตรสหประชาชาติ เข้ากับหลักการ Self-Defence และ Preemptive Strike รวมถึงเหตุผลว่าทำไมในกรณีของไทยกับกัมพูชา (สมมติฐานตามที่คุณให้ข้อมูล) จึงสามารถอธิบายความเหมาะสมเชิงกฎหมายและยุทธศาสตร์ได้
๑. กรอบกฎหมายระหว่างประเทศ: มาตรา ๕๑ กฎบัตรสหประชาชาติ (UN Charter) Nothing in the present Charter shall impair the inherent right of individual or collective self-defence if an armed attack occurs…
• ให้สิทธิรัฐใช้ Self-Defence เมื่อมีการ “armed attack” หรือการโจมตีด้วยอาวุธเกิดขึ้น
• การใช้กำลังต้อง จำกัดขอบเขต (Necessity & Proportionality) และรายงานต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC)
• ปกติแล้ว Self-Defence จะเกิดหลังจากถูกโจมตีจริง (Reactive Self-Defence)
๒. ช่องว่างกฎหมาย: Anticipatory / Preemptive Self-Defence แม้ UN Charter ไม่พูดตรง ๆ เรื่องการโจมตีก่อน แต่มีการตีความและถกเถียงในกรณีที่:
• ภัยคุกคามกำลังจะเกิดขึ้นทันที (Imminent Threat)
• รัฐต้องใช้กำลังเพื่อป้องกันตนเองก่อนที่จะถูกโจมตีจริง
• หลักนี้สืบเนื่องจากกรณี Caroline Affair (๑๘๓๗) ที่วางเกณฑ์ ๒ ข้อ : ๑. Necessity: ภัยคุกคามใกล้เข้ามาและหลีกเลี่ยงไม่ได้ และ ๒. Proportionality: การตอบโต้ต้องไม่เกินกว่าที่จำเป็นเพื่อสกัดภัย
Reactive Self-Defence โต้ตอบหลังถูกโจมตี ถูกยิงขีปนาวุธแล้วตอบโต้
Anticipatory Self-Defence โจมตีก่อนเมื่อภัยคุกคามใกล้ถึงตัว พบหลักฐานชัดว่าข้าศึก กำลังยิงขีปนาวุธในไม่กี่นาที
Preemptive Strike-โจมตีก่อนเพื่อลดศักยภาพข้าศึกก่อนเกิดภัย ทำลายฐานบิน/คลังอาวุธก่อนที่เขาจะใช้โจมตี
๓. เชื่อมกับสถานการณ์ไทย–กัมพูชา
• กัมพูชาส่งโดรนเข้ามาในน่านฟ้าไทย (เป็น armed reconnaissance และละเมิดอธิปไตย)
• เติมกำลังตลอดเวลา ตามแนวชายแดน
• ปล่อยข่าวยั่วยุ และไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงในการประชุม GBC ที่มาเลเซีย
• ท่าทีชัดว่า เตรียมโจมตีหรือทำลายความมั่นคงของไทย
หากมองตามหลัก Preemptive Strike:
๑. ภัยใกล้เกิดขึ้น (Imminence)
• การส่งโดรนเข้าสำรวจ + เสริมกำลัง คือการเตรียมความพร้อมโจมตี
• ไม่ใช่แค่ข่มขู่ แต่มีการ “ดำเนินการทางทหาร” บนผืนฟ้าไทยแล้ว
๒. ความจำเป็น (Necessity)
• ถ้าปล่อยให้ฝ่ายตรงข้ามเสริมกำลังต่อ จะเสียเปรียบเชิงยุทธวิธี
• การรอให้เขาเปิดฉากโจมตี อาจทำให้สูญเสียทั้งกำลังพลและพื้นที่ยุทธศาสตร์
๓. ความได้สัดส่วน (Proportionality)
• การโจมตีจำกัดขอบเขต เช่น ทำลายฐานปล่อยโดรน, คลังอาวุธ, จุดรวมกำลัง
• ไม่โจมตีพื้นที่พลเรือน
• แสดงเจตนาชัดว่าเป็น defensive action ไม่ใช่ war of aggression
แต่เป็น ดำเนินการตามมาตรา ๕๑ เพื่อป้องกันตนเองจากภัยใกล้เกิดขึ้น
• แจ้ง UNSC และพันธมิตรทันทีหลังปฏิบัติการ
ข่าว ทีมโฆษกกองทัพบก