นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สศช. แถลงภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สองของปี ๒๕๖๘ โดยผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP ไตรมาสที่ ๒ ขยายตัว ๒.๘% ชะลอลงจากการขยายตัว ๓.๒% ในไตรมาสแรกของปี ๒๕๖๘ โดยเป็นผลมาจากการใช้จ่าย การส่งออกสินค้าขยายตัวในเกณฑ์สูงต่อเนื่อง การลงทุนภาคเอกชนกลับมาขยายตัว ขณะที่การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาล การลงทุนภาครัฐ และการส่งออกบริการขยายตัวชะลอลง รวมครึ่งแรกของปี ๒๕๖๘ เศรษฐกิจไทยขยายตัว ๓.๐% ส่วนเศรษฐกิจไทยไตรมาส ๓ คาดว่าจะยังขยายตัวได้ดี แต่จะขยายตัวต่ำกว่าช่วง ๒ ไตรมาสแรกของปี
ด้านเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ อัตราการว่างงานอยู่ที่ ๐.๙๑% สูงกว่า ๐.๘๙% ในไตรมาสก่อน แต่ต่ำกว่า ๑.๐๗% ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน อัตราเงินเฟ้อทั่วไปติดลบครั้งแรกในรอบ ๕ ไตรมาสอยู่ที่ -๐.๓% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยอยู่ที่ ๑.๐% ส่วนดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล ๐.๖ พันล้านดอลลาร์ สรอ. (๑๗.๑ พันล้านบาท) เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน ๒๕๖๘ อยู่ที่ ๒๖๒.๔ พันล้านดอลลาร์ สรอ. และหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน ๒๕๖๘ มีมูลค่าทั้งสิ้น ๑๒.๐๗ ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๖๔.๒ ของ GDP
สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี ๒๕๖๘ ยังขยายตัวในช่วง ๑.๘ - ๒.๓% (ค่ากลางการประมาณการ ๒.๐%) ชะลอลงจาก ๒.๕% ในปี ๒๕๖๗ ตามแนวโน้มการลดลงของปริมาณการส่งออกสินค้าในช่วงครึ่งหลังของปีที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังการผลิตภาคอุตสาหกรรม ท่ามกลางแนวโน้มการชะลอตัวของภาคการท่องเที่ยว ขณะเดียวกันเศรษฐกิจไทยยังมีข้อจำกัดและความเสี่ยงจากภาระหนี้สินของครัวเรือนและภาคธุรกิจที่อยู่ในระดับสูงความผันผวนของราคาและผลผลิตภาคการเกษตร และความผันผวนของระบบเศรษฐกิจการค้าโลก
สำหรับเศรษฐกิจไทยช่วงครึ่งปีหลังยังมีแนวโน้มที่จะได้รับแรงสนับสนุนจากการเพิ่มขึ้นของรายจ่ายลงทุนภาครัฐการขยายตัวต่อเนื่องของการอุปโภคบริโภคภายในประเทศ และการปรับตัวดีขึ้นของการลงทุนภาคเอกชน ทั้งนี้ คาดว่าการอุปโภคบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนจะขยายตัว ๒.๑% และ ๑.๐% ตามลำดับขณะที่มูลค่าการส่งออกในรูปดอลลาร์ สรอ. ขยายตัว ๕.๕% อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยอยู่ในช่วง ๐.๐ - ๐.๕% และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล ๒.๑% ของ GDP
นายดนุชา กล่าวเพิ่มเติม ว่าในช่วงครึ่งปีหลัง ประเด็นที่มีความกังวล คือ ๑. การลงทุนของภาครัฐและเอกชนที่ต้องขับเคลื่อนให้ขยายตัว ขณะเดียวกันต้องมีการปรับปรุงกฎระเบียบต่างๆ เพื่อให้การส่งออกยังคงขยายตัวในช่วงรอการพิจารณารายละเอียดภาษีสหรัฐ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในระยะถัดไป โดยเฉพาะการเตรียมการเรื่อง transshipment อย่างเข้มงวดเพื่อป้องกันปัญหาการสวมสิทธิ์สินค้า
๒. การกำหนดเกณฑ์การคํานวณสัดส่วนมูลค่าการผลิตในประเทศ หรือ RVC ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันของกระทรวงพาณิชย์ และสภาอุตสาหกรรม เพื่อให้มีความเหมาะสมกับสินค้าไทย และยังคงส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐได้อย่างต่อเนื่อง
และ ๓. การท่องเที่ยว ที่จะช่วยทำให้เศรษฐกิจไทยยังคงขยายตัวได้ดีขึ้น
ส่วนผลกระทบชายแดนไทยกัมพูชานั้น มองว่าไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมีนัยยะสำคัญ เนื่องจากไม่ใช่พื้นที่ภาคการผลิต แต่จะกระทบการค้าชายแดน ผู้ประกอบการรายย่อย รวมถึงภาคอุตสาหกรรมที่แรงงานกัมพูชาเดินทางกลับประเทศ แต่กระทรวงแรงงานสามารถจัดหาแรงงานจากชาติอื่นเข้ามาทดแทนได้
ส่วนการปรับลดจำนวนการคาดการณ์นักท่องเที่ยวต่างชาติจาก ๓๗ ล้านคน เหลือ ๓๓ ล้านคน จากไตรมาส ๒ เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวลดลง ๑๒% และนักท่องเที่ยวจีนยังไม่กลับมาตามคาดไว้ แต่ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อรายจะดีขึ้น โดยตั้งปรับเป้านักท่องเที่ยวจีนเหลือ ๔ ล้านคน จาก ๖ ล้านคน
ขณะที่การลงทุนภาครัฐ ในแง่เม็ดเงินกระตุ้น แล้วเศรษฐกิจ ซึ่งขณะนี้สำนักงบประมาณได้พิจารณารายจ่ายแต่ละโครงการเรียบร้อยแล้ว จึงสามารถจัดซื้อจัดจ้างได้แล้ว ซึ่งคาดว่าเม็ดเงินจะออกได้ที่วางไว้
นายดนุชากล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยมีปัญหาด้านโครงสร้างเศรษฐกิจ หากจะทำให้เศรษฐกิจโตระดับ ๓% จะต้องเร่งปรับโครงสร้างการผลิต ซึ่งต้องใช้ระยะเวลา ๒-๓ ปี การผลิตแรงงานที่มีศักยภาพ และเร่งผลิตเทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิตเพื่อลดต้นทุนการผลิตสินค้า โดยเฉพาะภาคการเกษตรที่ต้องเน้นผลิตคุณภาพมากกว่าปริมาณ โดยมาตรการภาษีสหรัฐที่เกิดขึ้นจึงเป็นโอกาสสำคัญในการเร่งปรับโครงสร้างในประเทศ โดยจะต้องเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน
ส่วนกรณีที่กระทรวงการคลังมีแนวคิด มีสนับสนุนนโยบายสวัสดิการในลักษณะ Negative Income Tax ที่คาดว่าจะเริ่มใช้ปี ๗๐ นั้น สศช. กำลังเร่งปรับปรุงข้อมูลเส้นแบ่งความยากจนให้เป็นปัจจุบัน คาดจะแล้วเสร็จช่วงปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้า ซึ่งกระทรวงการคลังสามารถนำข้อมูลนี้ไปใช้ได้ ซึ่งประเด็นดังกล่าวได้มีการหารือมาระยะหนึ่งแล้ว
ข่าว nbt