
ยะลา -ผู้ประกอบการ โรงแรม วอนรัฐ พิจารณาค่าแรงตามบริบทพื้นที่ หวั่นซ้ำเติมธุรกิจซบเซา
เผยแพร่เมื่อ ๒๐/๐๘/๒๐๒๕ ๑๕:๐๕
ยะลา -ผู้ประกอบการ โรงแรม วอนรัฐ พิจารณาค่าแรงตามบริบทพื้นที่ หวั่นซ้ำเติมธุรกิจซบเซา หลังจากมีการประกาศนโยบายปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำของรัฐบาล สร้างความกังวลให้กับผู้ประกอบการหลายภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจโรงแรมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเผชิญความท้าทายทางเศรษฐกิจมาอย่างต่อเนื่อง ผู้ประกอบการโรงแรมรายหนึ่งในจังหวัดยะลา ได้แสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมาถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น โดยเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการพิจารณาบริบทของแต่ละพื้นที่อย่างรอบคอบ โดยระบุว่า หากมีการปรับขึ้นค่าแรงในสถานการณ์ปัจจุบันของจังหวัดยะลา จะส่งผลกระทบโดยตรงและรุนแรงต่อธุรกิจ เนื่องจาก รายรับกับรายจ่ายในปัจจุบันก็ตึงตัวอยู่แล้ว การเพิ่มภาระค่าแรงจะยิ่งทำให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปได้ยากขึ้น และอาจส่งผลให้การพัฒนาธุรกิจเป็นไปอย่างเชื่องช้า เพราะไม่มีเงินทุนหมุนเวียนเพียงพอ ยะลาไม่ใช่เมืองท่องเที่ยว ข้อจำกัดที่ต้องเข้าใจ สิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการโรงแรม เน้นย้ำ คือ ยะลาไม่ได้เป็นเมืองท่องเที่ยวหลัก เหมือนจังหวัดอื่นๆ การท่องเที่ยวในพื้นที่แทบไม่ได้รับการกระตุ้น และกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวก็มีน้อยมาก สิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งคือ ทุกช่วงวันหยุดยาว ผู้คนในพื้นที่กลับเดินทางออกไปท่องเที่ยวภายนอก เช่น สงขลา หาดใหญ่ หรือพัทลุง ทำให้จังหวัดยะลาเงียบเหงาและไม่มีเม็ดเงินหมุนเวียนในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทุกครั้งที่หยุดยาว คนในพื้นที่ก็จะออกไปเที่ยวที่อื่นมากกว่า ทำให้เมืองเราดูเงียบเหงา พอเงียบเหงา มันก็ไม่มีคนเข้ามาในพื้นที่ ประกอบกับไม่มีกิจกรรมอะไรจัดอยู่ตลอดด้วย มันก็เลยยิ่งซบเซามากกว่า " สถานการณ์นี้แตกต่างจากอำเภอเบตง ซึ่งเป็นเพียงส่วนเดียวของจังหวัดยะลาที่มีการท่องเที่ยวเกิดขึ้น แต่เมื่อพิจารณาภาพรวมทั้งจังหวัด รวมถึงอำเภอเมืองของปัตตานีและนราธิวาส ก็พบว่ามีความซบเซาไม่ต่างกัน หากต้องแบกรับภาระค่าแรงที่เพิ่มขึ้น ยิ่งจะทำให้ผู้ประกอบการต้องเผชิญกับความเหนื่อยล้ามากขึ้นกว่าเดิม “ผลกระทบหากมาตรการขึ้นค่าแรงมีผลบังคับใช้ อาจนำไปสู่การปิดกิจการบางส่วน หรืออย่างน้อยที่สุด ผู้ประกอบการจะต้อง ลดค่าใช้จ่าย” ซึ่งหลักๆ คือ การลดจำนวนพนักงาน แทนที่จะได้ประโยชน์ในเรื่องของการจ้างงานและพนักงานมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น กลับกลายเป็นว่าเขาจะต้องลดพนักงาน เพราะฉะนั้นคนที่ต้องตกงานก็ต้องมีมากขึ้น จำนวนครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบก็จะทวีคูณขึ้นไป" ผู้ประกอบการกล่าว ปัญหาที่เกิดขึ้นในช่วงโควิด-๑๙ ทำให้ผู้ประกอบการได้รับรู้ถึงความลำบาก แต่ในปัจจุบันมีปัจจัยทางเศรษฐกิจและค่าแรงเข้ามาบีบคั้นเพิ่มเติม ทำให้สถานการณ์ยิ่งกดดันมากยิ่งขึ้น ผู้ประกอบการยังได้ฝากถึงรัฐบาลและผู้เกี่ยวข้องว่า การออกนโยบายไม่ควรมองในภาพรวมทั้งประเทศเพียงอย่างเดียว ควรมีการแบ่งแยกและพิจารณาบริบทของแต่ละพื้นที่ เหมือนกับการกำหนดค่าแรงที่แตกต่างกันไปในแต่ละจังหวัด ๓ จังหวัดชายแดนของเราเป็นจังหวัดที่พิเศษอยู่แล้ว ไม่ได้เด่นเรื่องการท่องเที่ยว แต่ถ้าเอาปัจจัยเรื่องท่องเที่ยวมาเป็นตัวตัดสินในเรื่องของค่าแรง ก็ดูไม่แฟร์กับผู้ประกอบการที่อยู่ในพื้นที่" เขากล่าวเสริมว่า ปัญหาเศรษฐกิจที่มีอยู่เดิมผนวกกับปัญหาความไม่สงบ ยิ่งทำให้สถานการณ์ยากลำบากมากขึ้น ท้ายที่สุด ผู้ประกอบการหวังว่า ภาครัฐควรวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกในแต่ละจังหวัดและแต่ละพื้นที่ และ ภาคเอกชนควรมีส่วนสำคัญในการเป็นกระบอกเสียง เพื่อให้ข้อมูลว่าธุรกิจสามารถแบกรับภาระได้หรือไม่ หากเศรษฐกิจดีจริง ผู้ประกอบการเชื่อว่าทุกคนยินดีที่จะปรับขึ้นค่าแรง แต่หากเป็นเพียงนโยบายที่มุ่งหวังคะแนนเสียงทางการเมืองโดยไม่พิจารณาถึงผลกระทบที่แท้จริง จะส่งผลเสียต่อภาคธุรกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทางด้าน นายสุทน อินทราวุธ อายุ ๕๑ ปี ผู้จัดการโรงแรมปาร์ควิว จังหวัดยะลา กล่าวว่า “หากมองกันตามความจริง ในฐานะลูกจ้างเราก็เข้าใจและเห็นใจผู้ประกอบการ เพราะเมืองยะลาไม่ใช่เมืองท่องเที่ยว แต่เป็นเมืองเศรษฐกิจทั่วไป ซึ่งกำลังเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัว หากนายจ้างอยู่ไม่ได้ ลูกจ้างอย่างเราก็อยู่ไม่ได้เช่นกัน ปัจจุบันโรงแรมได้จ่ายค่าแรงตามอัตราขั้นต่ำที่ ๓๓๗ บาทต่อวัน หากจะมีการปรับขึ้นเป็น ๔๐๐ บาท ส่วนต่างตรงนี้ก็ถือเป็นภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ดังนั้น หากจะให้ปรับขึ้นจริง ๆ อยากให้ภาครัฐมีมาตรการช่วยเหลือ หรือสนับสนุนบางส่วน มาช่วยบรรเทาภาระของผู้ประกอบการ เพื่อให้สามารถเดินหน้าธุรกิจต่อไปได้ และดูแลพนักงานได้อย่างยั่งยืน