"ประเสริฐ" สั่งทุกพื้นที่เสี่ยงให้วางแผนบริหารจัดการน้ำพร้อมรับมือฝนตกหนักในระยะนี้ พร้อมแจ้งเตือนประชาชนอย่างทันท่วงทีผ่านทุกช่องทาง

เผยแพร่เมื่อ ๑๗ ส.ค. ๒๕๖๘

ภาพประกอบข่าว

รองนายกรัฐมนตรี สั่งทุกพื้นที่เสี่ยงให้วางแผนบริหารจัดการน้ำพร้อมรับมือฝนตกหนักในระยะนี้ พร้อมแจ้งเตือนประชาชนอย่างทันท่วงทีผ่านทุกช่องทาง

            นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ในฐานะประธานกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) กล่าวว่า ในระยะนี้มีร่องมรสุมพาดผ่านพื้นที่ภาคเหนือตอนบน ประกอบกับ ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้มีกำลังแรงขึ้น ทำให้เกิดฝนตกหนักในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ จึงได้สั่งการให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) แจ้งเตือนล่วงหน้าไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เตรียมพร้อม เพื่อรับมือน้ำหลากได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ควบคู่กับให้ติดตามสภาพอากาศและสถานการณ์น้ำต่อเนื่องในการแจ้งเตือนประชาชนอย่างทันท่วงทีผ่านทุกช่องทางและระบบ Cell Broadcast (CB) ขณะนี้สถานการณ์น้ำท่วมฉับพลันจากฝนตกหนักในหลายแห่งกลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว ทั้งอำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย // อำเภอขุนยวม จังหวัดแม่ฮ่องสอน // อำเภอเมืองพะเยา อำเภอปง จังหวัดพะเยา // อำเภอเมืองตราด จังหวัดตราด // อำเภอวังน้ำเย็น อำเภอคลองหาด จังหวัดสระแก้ว // และอำเภอพยัคฆภูมิพิสัย จังหวัดมหาสารคาม แต่ยังคงพบมีบางพื้นที่ประสบปัญหา คือ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย // อำเภอร้องกวาง จังหวัดแพร่ // อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก // อำเภอบึงสามพัน อำเภอวิเชียรบุรี อำเภอศรีเทพ อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ จังหวัดเพชรบูรณ์ // และอำเภอมะขาม จังหวัดจันทบุรี รวมทั้ง ยังมีน้ำท่วมจากการระบายปริมาณน้ำเดิมของแม่น้ำยม บริเวณอำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร จึงสั่งการหน่วยงานต่างๆเร่งบริหารจัดการปริมาณน้ำเพื่อคลี่คลายสถานการณ์โดยเร็ว ส่วนของปริมาณน้ำที่หลากเข้าท่วมพื้นที่อำเภอร้องกวาง จังหวัดแพร่ ประเมินแล้วจะไม่ส่งผลกระทบต่อจังหวัดสุโขทัย
            รองนายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า ส่วนพื้นที่มีแนวโน้มประสบปัญหาฝนทิ้งช่วง อย่างจังหวัดนครราชสีมา โดยเฉพาะเขื่อนลำตะคอง อำเภอสีคิ้ว ที่เป็นแหล่งน้ำต้นทุนขนาดใหญ่สำคัญของจังหวัด ได้กำชับให้บริหารจัดการน้ำเขื่อนลำตะคองอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดความเสี่ยงจากปัญหาขาดแคลนน้ำ ช่วยป้องกันและบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนให้ประชาชนในพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม