สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ร่วมกับ กรมชลประทาน และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) วางแผนบริหารจัดการน้ำเขื่อนสิริกิติ์หลังปริมาณน้ำกักเก็บสูงกว่าร้อยละ ๘๐ พร้อมพร่องน้ำเขื่อนตามแนวแม่น้ำน่าน เพื่อเพิ่มพื้นที่รับน้ำฝนระลอกใหม่
นายสุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) กล่าวว่า ช่วงกลางเดือนสิงหาคมเป็นต้นไปประเทศไทยจะเกิดฝนตกหนักอีกครั้ง อาจส่งผลกระทบต่อพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก โดยเฉพาะพื้นที่ลุ่มน้ำยม-น่าน ทำให้ศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยลุ่มน้ำยม-น่าน ได้พิจารณาให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ร่วมกับ กรมชลประทาน และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) บริหารจัดการน้ำของเขื่อนสิริกิติ์ หลังช่วงที่ผ่านมาปรับลดอัตราการระบายน้ำลงเพื่อช่วยหน่วงน้ำในลุ่มน้ำน่านไม่ให้เพิ่มระดับขึ้น เร่งการระบายน้ำในลุ่มน้ำยมออกสู่แม่น้ำน่านอย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยลดผลกระทบต่อพื้นที่ท้ายน้ำด้วย ส่งผลให้ขณะนี้มีปริมาณน้ำในเขื่อนสิริกิติ์เพิ่มสูงขึ้นถึงร้อยละ ๘๔ ของความจุเก็บกัก แล้วมีพื้นที่รองรับน้ำได้อีกเพียง ๑,๕๐๐ ล้านลูกบาศก์เมตรเท่านั้น ด้วยการปรับแผนการระบายน้ำของเขื่อนสิริกิติ์เพื่อเพิ่มพื้นที่ว่างรองรับน้ำฝนที่จะตกเพิ่มในระยะถัดไป ซึ่งอัตราการระบายจะต้องไม่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ท้ายเขื่อนด้วย ณ วันที่ ๑๑ สิงหาคม เขื่อนสิริกิติ์ มีอัตราการระบายอยู่ที่ ๕๕ ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน
ทั้งนี้ สทนช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะต้องบริหารจัดการน้ำในเขื่อนตามแนวแม่น้ำน่านในภาพรวม คือ เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนผาจุก และเขื่อนนเรศวร ให้มีความสมดุลสอดรับกัน เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อพื้นที่ด้านท้ายน้ำตลอดแนวแม่น้ำน่าน จึงได้ให้ปรับเพิ่มการระบายของเขื่อนนเรศวรเริ่มตั้งแต่วานนี้ (๑๑ ส.ค.๖๘) เป็นต้นไป เพื่อช่วยลดระดับน้ำที่เอ่อล้นตลิ่งเข้าพื้นที่การเกษตรบริเวณพื้นที่ลุ่มต่ำบางส่วนในจังหวัดอุตรดิตถ์ แล้วยังเป็นการช่วยส่งน้ำส่วนเกินเข้าสู่พื้นที่ชลประทานด้วย ดังนั้น การระบายน้ำของเขื่อนสิริกิติ์ ที่อัตรา ๕๕ ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวันในระยะนี้จะยังไม่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ท้ายเขื่อน แต่หากเกิดฝนตกหนักบริเวณท้ายเขื่อนเพิ่มมากขึ้นเขื่อนสิริกิติ์จะต้องพิจารณาปรับลดการระบายลงอีกครั้ง เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่